ซิเนอร์เจียแองเกิล: Trick or Truth? เมื่อเทศกาลกินเจเปลี่ยนเดือนตุลาคมของไทยให้กลายเป็นการเฉลิมฉลองแห่งความเมตตา
- vchalermlapvoraboo
- Oct 31
- 1 min read

ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกเฉลิมฉลองเดือนตุลาคมด้วยชุดแฟนซีและแสงเทียน ประเทศไทยกลับมีเทศกาลที่ต่างออกไป เทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความเมตตา ที่ผู้คนทั่วประเทศหันมารับประทานอาหารจากพืชมากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ “การกินน้อยลง” กลับกลายเป็น “การให้มากขึ้น” ทั้งต่อสุขภาพ ชีวิตสัตว์ และโลกของเรา
เทศกาลกินเจมีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 19 ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อคณะงิ้วจีนที่เดินทางมาแสดงให้ชาวเหมืองได้ชมเกิดล้มป่วย จึงถือศีลกินเจเพื่อชำระล้างร่างกายและจิตใจ พิธีกรรมนี้ค่อย ๆ แพร่ไปทั่วประเทศ และกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการละเว้นเนื้อสัตว์ 9 วัน 9 คืน เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์และความเมตตาต่อสรรพชีวิต
ปัจจุบัน เทศกาลกินเจได้กลายเป็นมากกว่าการถือศีล มันคือ “ขบวนการทางวัฒนธรรม” ที่ผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับแนวคิดความยั่งยืนอย่างงดงาม ทั่วประเทศจะเห็นธงสีเหลือง ตามถนน ร้านค้า และตลาด เต็มไปด้วยอาหารจากพืชหลากหลายชนิดที่ทั้งอร่อยและมีคุณค่า อาหารเหล่านี้ไม่เพียงเป็นพิธีกรรมทางศรัทธา แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของจิตสำนึกใหม่ที่เชื่อว่า “อาหาร” คือพลังแห่งความกรุณาและความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้
แต่ละมื้ออาหารที่เราเลือก สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ ระบบอาหารสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นปริมาณกลับต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมมหาศาล ทั้งการทำลายป่า การใช้น้ำจำนวนมาก และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เร่งให้โลกร้อนขึ้น รายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า การเปลี่ยนมาบริโภคอาหารจากพืชสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้มากถึง 49% แปลง ทุกจานอาหาร ให้เป็น โอกาสช่วยโลก
รายงานล่าสุดจากคณะกรรมาธิการ EAT-Lancet ระบุว่า หากทั่วโลกปรับระบบอาหารเข้าสู่ “อาหารเพื่อสุขภาพของโลก” (Planetary Health Diet) ภายในปี 2050 มนุษย์เกือบทุกคนบนโลกจะสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพและวัฒนธรรมของตนเองได้ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
อาหารลักษณะนี้ไม่ได้หมายถึงการงดเว้นทุกอย่าง แต่คือการ “สร้างสมดุล” ด้วยการบริโภคผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว และเมล็ดพืชเป็นหลัก พร้อมเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมในปริมาณพอเหมาะ คล้ายอาหารไทยที่อุดมด้วยผักและวัตถุดิบจากธรรมชาติ ดังที่ ดร.วอลเตอร์ วิเล็ต จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า “นี่คืออาหารที่ดีต่อทั้งคนและโลก”
หากแนวทางนี้ถูกนำมาใช้ทั่วโลก จะสามารถเลี้ยงดูประชากรกว่า 9.6 พันล้านคนได้อย่างเท่าเทียมในปี 2050 พร้อมลดการปล่อยคาร์บอนจากระบบอาหารได้กว่าครึ่ง และอาจช่วยชีวิตผู้คนได้ถึง 15 ล้านคนต่อปี คิดเป็นมูลค่าความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ประเทศไทยเองก็มีภูมิปัญญาอาหารที่สอดคล้องกับแนวทางนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผัดเต้าหู้ ต้มเห็ด หรือข้าวราดแกงที่อุดมด้วยรสชาติและคุณค่าทางอาหาร แต่อยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่ายและสมดุล เทศกาลกินเจจึงเป็นมากกว่าประเพณีทางศาสนา แต่มันคือ “การกลับคืนสู่ความสมดุลของชีวิต” ผ่านอาหารที่ทั้งอร่อยและดีต่อใจ
แต่ในขณะที่อาหารไทยสะท้อนความกลมกลืนระหว่างร่างกายและธรรมชาติ ระบบอาหารของเรายังมีอีกด้านที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงด้านที่เตือนให้เราตระหนักถึงผลของการบริโภคในโลกปัจจุบัน เบื้องหลังอาหารที่เราพบเห็นอยู่ทุกวันคือชีวิตของสัตว์ในฟาร์มอุตสาหกรรมจำนวนมาก โดยเฉพาะแม่ไก่ไข่ที่ต้องอยู่ในกรงแคบจนไม่สามารถกางปีกได้อย่างอิสระ เทศกาลกินเจจึงไม่ใช่เพียงการละเว้นจากเนื้อสัตว์ แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่ชวนให้เรากลับมาทบทวนว่า “ความเมตตา” ควรเกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของการผลิตอาหาร
แนวคิดนี้เป็นหัวใจขององค์กร ที่ทำงานเพื่อส่งเสริมระบบอาหารที่มีจริยธรรมและยั่งยืน ผ่านแคมเปญผลักดันการใช้ “ไข่ปลอดกรง” และการเปลี่ยนผ่านสู่อาหารจากพืชทั่วเอเชีย เพื่อให้ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจตระหนักว่าอาหารไม่ใช่แค่สินค้า แต่คือ พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกไข่รายใหญ่ของเอเชีย ผลิตไข่กว่า 15,000 ล้านฟองในปี 2567 ประเด็นเรื่องสวัสดิภาพสัตว์และความปลอดภัยอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญที่อาจมองข้ามเพราะมันเชื่อไม่ใช่เพียงเรื่องสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม เพราะมันเชื่อมโยงโดยตรงกับเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของสังคมโดยรวม อย่างไรก็ตาม ในระดับนโยบาย ประเด็นสวัสดิภาพสัตว์ยังไม่ได้รับการให้ความสำคัญเพียงพอ กฎหมายส่วนใหญ่เน้นเฉพาะการป้องกันความทุกข์โดยตรง แต่ยังขาดการคุ้มครองตลอดวงจรชีวิตของสัตว์ในฟาร์ม ทั้งที่ “การยกระดับสวัสดิภาพสัตว์” ไม่เพียงถูกต้องตามหลักจริยธรรม แต่ยังเป็น “การลงทุนเชิงกลยุทธ์” ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในตลาดโลก
เมื่อผู้บริโภคทั่วโลกเริ่มใส่ใจที่มาของอาหารมากขึ้น มาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อชื่อเสียงของประเทศและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ไทยบนเวทีโลก ทางองค์กรจึงมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับภาคธุรกิจให้เป็น ผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยร่วมมือกับบริษัทและโรงแรมชั้นนำในไทย เช่น Banyan Tree, Zen Group, Sukishi, Minor Food และ Minor Hotels ที่ประกาศนโยบายใช้ไข่ปลอดกรงแล้ว ขณะที่กลุ่ม ONYX Hospitality ได้เปลี่ยนมาใช้ไข่ปลอดกรง 100% และ Best Western ก็ขยับความคืบหน้าเป็น 70% หลังการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ทุกก้าวของธุรกิจเหล่านี้คือแรงกระเพื่อมสำคัญในห่วงโซ่อาหาร สร้างแรงบันดาลใจให้ซัพพลายเออร์ ปรับมาตรฐานให้คู่แข่ง และยกระดับความคาดหวังของผู้บริโภค
เราในฐานะผู้บริโภค จะร่วมเป็นแรงในการสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?
เริ่มจากมื้อเล็กๆ เปลี่ยนอาหารเพียงหนึ่งมื้อจากเนื้อสัตว์เป็นอาหารจากพืช ก็สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประหยัดน้ำ และลดความทุกข์ของสัตว์ได้อย่างมหาศาล
สนับสนุนแบรนด์ที่ใส่ใจและปลอดกรง ทุกการซื้อคือ “หนึ่งเสียง” ที่บอกโลกว่า เราอยากเห็นสังคมที่มีเมตตาและยั่งยืนมากขึ้น สนับสนุนแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ตั้งคำถามกับแหล่งที่มาของอาหาร ความโปร่งใสนำไปสู่ความรับผิดชอบ ถามถึงแหล่งที่มาของอาหาร วิธีการผลิต และมาตรฐานของร้านหรือแบรนด์ที่เราเลือก เพื่อผลักดันให้ธุรกิจใส่ใจต่อจริยธรรมมากขึ้น
แบ่งปันเรื่องราวแห่งความเมตตาการเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการพูดคุย บอกต่อเหตุผลว่าทำไม “อาหารบนจาน” จึงมีความหมาย ชวนเพื่อน ครอบครัว และชุมชน มาร่วมสร้างโลกที่เคารพต่อชีวิตทุกชีวิต
เพราะเมื่อเรา เลือกที่จะเปลี่ยน แม้เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน เรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่: การเปลี่ยนโลกให้เติบโตบนพื้นฐานของ ความเมตตาและความยั่งยืน











Comments